นี่คือเรื่องราวของ “Mickie” หรือ ปองภพ รัตนแสงโชติ อดีตโปรเพลยเยอร์ Overwatch คนดังที่เปลี่ยนสิ่งนั้นให้เป็นจริง เมื่อเคยเดินทางข้ามซีกโลกเพื่อเป็นสมาชิกทีม Overwatch ระดับโลก โดยที่ไม่รู้ภาษาอังกฤษ ฟังไม่ออก ต้องใช้ชีวิตตัวคนเดียวในวัยแค่ 20 ต้นๆ

เขากลายเป็นคนไทยคนแรกที่ได้ลงเล่นลีกระดับโลกของ Overwatch ความสำเร็จของเขามาพร้อมชื่อเสียงเงินทอง และก้าวสู่จุดสูงสุดมาแล้ว แต่เขาทำได้อย่างไร อะไรทำให้เลือกกลับมาสู่วงการในฐานะโค้ช PUBG ของ Bacon Time ด้วยวัย 27 ปี ร่วมค้นหาคำตอบไปพร้อมกันได้ที่นี่



คิดบวก

“ถ้าถามว่า เกมคือทุกอย่างในชีวิตของผมไหม ผมคงตอบว่า ไม่” Mickie เริ่มกล่าวกับ One Esports อย่างไม่ลังเล เมื่อถูกถามว่า เกมคือทุกอย่างในชีวิตหรือไม่

ปฏิเสธไม่ได้ว่า เกมเข้ามามีส่วนเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาจากหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อสามารถใช้หล่อเลี้ยงครอบครัวได้ เพราะในวัยเด็ก Mickie ต้องเห็นคุณแม่ทำงานหนักมาตลอด รวมถึงพี่สาวที่เสียสละไม่ยอมเรียนต่อมหาวิทยาลัยเพื่อให้น้องชายอย่างเขามีชีวิตที่ดี เนื่องจากครอบครัวเสียเสาหลักอย่างคุณพ่อ จนสถานการณ์การเงินแย่ลง

ในวัยเด็ก Mickie ได้คลุกคลีกับเกม เพราะคุณแม่ต้องทำงานหนักจนไม่มีเวลาดูแลเขาอย่างเต็มที่จึงฝากฝังเจ้าของร้านเกมแห่งหนึ่งช่วยดูแล ทำให้ประตูสู่โลกของเกมเปิดกว้าง กระทั่งมีโอกาสประเดิมสนามแข่งขันอย่างเป็นทางการครั้งแรก กับ Audition เกมแดนซ์ออนไลน์สุดฮิตอันดับ 1 ในรายการ Audition Thailand Championship 2008 บนวัยเพียง 14 ปี

การแข่งครั้งนั้น เขาสามารถคว้าอันดับ 2 รุ่นจูเนียร์ครอง ได้เป็นตัวแทนประเทศไทย เข้าแข่งขัน E-Stars Seoul 2009 ที่ประเทศเกาหลีใต้ ก่อนจะคว้าอันดับ 3 กลับมา แต่สถานการณ์ทางบ้านย่ำแย่กว่าเดิม คุณแม่ของเขาตกงาน รถยนต์โดนยึดไม่มีอะไรเหลือ 

เหตุการณ์ในวันนั้นทำให้ Mickie ตัดสินใจโฟกัสเรื่องเรียนเป็นหลักวางแผนเรียนจบสูงๆเพื่อกลับมาช่วยเหลือครอบครัว

“ต้องบอกว่าเกมมีมุมที่ดี และไม่ดีของมันสำหรับผมคิดว่า เกมทำให้เราได้ฝึกอะไรหลายอย่างที่เราสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้”

“ผมเป็นลูกคนเล็ก ลูกคนเล็กจะได้อะไรมากกว่าพี่คนโต สำหรับชีวิตตอนนั้นผมมองว่า มันไม่ได้ลำบากอะไรมาก คือมันก็ไม่ได้ดี แต่อย่างน้อยเราก็ไม่ได้อดอยาก มีช่วงหนึ่งที่ผมต้องกินข้าวกับลูกชิ้น แต่ผมมองว่า อย่างน้อยมันก็ยังมีให้กินก็อยู่ได้”

“ผมมองว่า คำว่าลำบากมันอยู่ที่ตัวเรา เช่นบางคนมองว่า การขึ้นรถเมล์ลำบาก แต่ถ้าเทียบกับมุมมองคนปัจจุบัน บางคนอาจพูดว่าลำบาก แต่สำหรับคนที่ใช้ชีวิตแบบนั้นมันเป็นเรื่องธรรมดาที่อยู่กันได้ จะใช้ว่าลำบากเต็มปากมันใช้ไม่ได้กับทุกคน”

แม้จะมีชีวิตของเขาจะยากลำบากในสายตาคนนอก แต่ความคิดบวกของ Mickie เขาไม่เคยมองว่า ความลำบากนี้จะเป็นอุปสรรคในการพัฒนาตัวเองทั้งเรื่องเกม และการสร้างชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเจอสถานการณ์แบบไหน เขาพร้อมที่จะเผชิญหน้า เรียนรู้ไปกับมันเพื่อก้าวต่อไปเสมอ

…และนั่นเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้เขาก้าวเท้าสู่ความยิ่งใหญ่ถึงจุดที่ยังไม่เคยมีคนไทยคนไหนเคยทำได้มาก่อน


โฟกัสให้ถูกแบ่งเวลาให้เป็น

การทำหลายอย่างควบคู่ในเวลาเดียวกัน ความสำเร็จย่อมเป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะเรื่องเกมกับการเรียนที่เปรียบดั่งเส้นขนานยิ่งยากเป็นเท่าตัว แต่เขาสามารถทำทั้งสองอย่างสำเร็จได้ โดยเบื้องหลังความสำเร็จคือการรู้จักแบ่งเวลา และโฟกัสให้ถูกจุด

“จริงๆผมไม่ได้เป็นคนที่ตั้งใจหรือขยันเรียน” Mickie กล่าวต่อ “ช่วงมัธยมปลายผมเรียนหนัก เพราะเป็นช่วงที่เริ่มคิดถึงอนาคตข้างหน้า ผมคิดว่า ถ้ายังเล่นเกมต่อไปเกมมันจะช่วยอะไรกับอนาคตข้างหน้าของเราได้ ก็เลยเริ่มคิดหาตัวเองว่า อยากจะเป็นอะไร”

“พอคิดไปคิดมาไหนๆก็อยู่กับคอมพิวเตอร์มาทั้งชีวิตก็เลยจะเป็นโปรแกรมเมอร์ ก็ไปศึกษาว่าเราต้องเรียนต่อในสาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์”

“ผมอยากเข้ามหาวิทยาลัยดัง แต่ความสามารถไม่ถึงเลยต้องไปเรียนพิเศษเพิ่ม ผมต้องขยันมากขึ้น ลดเรื่องเกมลงไป การแบ่งเวลาช่วงนั้นเป็นการเรียนเยอะมาก ส่วนเกมมีเวลาซ้อมวันละ 4 ชั่วโมงเท่านั้น”

อย่างไรก็ตามแม้เวลาซ้อมจะน้อย แต่ Mickie ยอมรับว่า เขาไม่ได้เก่งในเวลาเพียง 4 ชั่วโมงต่อวัน แต่เขาฝึกฝนเรียนรู้ทุกอย่างจนมีพื้นฐานแน่นมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้

“ก่อนหน้าที่ผมจะลดชั่วโมงซ้อม ผมมีพื้นฐานเกมแน่นแล้ว ผมฝึกวิธีเล่นมาทั้งหมดจนเราไม่จำเป็นต้องเก่งขึ้นภายในเวลาแค่นั้น แต่มาตรฐานเราสร้างมาแล้ว ฉะนั้นสิ่งที่เราต้องการในเวลาฝึกซ้อม 4 ชั่วโมงคือการทำงานเป็นทีมมันเลยไม่ต้องใช้เวลาเยอะ”

ด้วยวิธีนั้นทำให้ Mickie ทำทั้งสองเรื่องควบคู่กันไปอย่างมีประสิทธิภาพ เขาไม่จำเป็นต้องทิ้งเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่สามารถทำให้เกม และเรื่องเรียนลงตัวได้ ซึ่งช่วยต่อยอดให้เขาประสบความสำเร็จในการเป็นโปรเพลย์เยอร์ และมีความรู้ประดับตัวหากวันหนึ่งมีเหตุการณ์ที่ต้องตัดสินใจอำลาวงการเกม


คว้าทุกโอกาสที่เข้ามา

Mickie ยอมรับว่า เดิมทีเขาไม่เคยมีความคิดอยากเป็นโปรเพลย์เยอร์ เกมไม่ใช่สิ่งที่เขาหวังจะใช้สร้างอนาคต แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อตัดสินใจรับทุกโอกาสที่ถูกหยิบยื่นเข้ามาในชีวิต

“ตอนนั้นผมมองว่า การแข่งเกมก็แค่เพื่อเอาเงินมาใช้ไม่ได้คิดว่า จะสร้างอนาคตอะไร แค่เรามีความสามารถในสิ่งนี้ อย่างน้อยก็น่าจะได้อะไรจากมันคืนบ้างก็เลยตัดสินใจไปแข่ง แต่ผมไม่ได้รู้สึกว่าเกมมีบทบาทในชีวิตมากเท่าไรในตอนนั้น”

“ผมเพิ่งมารู้สึกอยากจริงจังก็ตอนได้เริ่มต้นเล่นเป็นอาชีพ ไม่ใช่ว่าผมอยากเป็นแล้วผมพยายามจะเป็นนะ แต่เกิดจากมีคนมายื่นโอกาสให้ผม ผมก็ตัดสินใจเป็น ผมไม่เคยคิดเลยว่า อยากเป็นนักกีฬาอีสปอร์ตไม่เคยคิดอยากใช้มันหาเลี้ยงชีพตลอดชีวิต จนกระทั่งวันหนึ่งมีคนมายื่นโอกาสให้แล้วถามว่า จะเอาไหม ผมก็เลยตัดสินใจรับไว้”

จากนั้น Mickie สร้างชื่อเป็นโปรเพลเยอร์อย่างรวดเร็ว เมื่อก้าวสู่วงการ Point Blank(PB) เกม shooting มาแรง โดยถูกชักชวนเข้าร่วมทีม PB ทีมหนึ่ง ก่อนจะแจ้งเกิดในทีมสำรองอย่าง GZ-Gaming จากนั้นฝีมือชั้นเซียนโดดเด่นเกินวัยของเขากลายเป็นที่ประทับใจของ Xunwu Teamwork ทีม FPS ชื่อดังที่ยื่นโอกาสให้กับเขา

“เดิม GZ เป็นทีมที่พวกผมสร้างกันขึ้นมา เป็นจุดเริ่มต้นขำๆ ผมคิดว่าถ้าผมไปทำอย่างอื่นก็คงไม่ได้ต่างจากการแข่งเกมเท่าไหร่ แต่ถ้าตอนนั้นผมเลือกทางเดินอื่นที่ไม่ใช่การแข่งขันมันก็จะไม่ได้โมเมนต์เวลาได้รับชัยชนะ” Mickie กล่าวถึงการตัดสินใจตอบรับโอกาสเข้าเป็นสมาชิกของ Xunwu Teamwork ซึ่งทำให้เขาได้เรียนรู้การเล่นอย่างเป็นระบบมากขึ้น

หลังจากนั้น Mickie มีโอกาสอวดฝีมือในเวทีชิงแชมป์โลกถึง 2 ครั้ง จากทุกทีมที่มอบโอกาสให้ และเขาก็รับมันไว้ แม้ปี 2014 ความผิดหวังในการแข่งคัดตัวแทนประเทศจะทำให้เขาหมดไฟกับ PB แต่ Mickie ก็กลับสู่วงการอีกครั้งกับทีมเก่าอย่าง GZ Gaming ที่คว้าสิทธิ์ตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันรายการชิงแชมป์โลกอย่าง Point Blank 2015 International Championship หรือ PBIC 2015 เนื่องจากทีมมีผู้เล่นไม่ครบ

“ตอนนั้นผมไม่เคยมองเลยว่า ตัวเองจะไปถึงแชมป์โลก แม้กระทั่งวันที่ไปชิงแชมป์โลกก็ไม่ได้คิด คิดว่าจะทำให้ดีที่สุดเพราะผมจะเลิกเล่นแล้ว แต่เพื่อนขอให้ไปแข่งรายการเดียวเลยคิดว่าไหนๆก็มาแล้วไม่อยากเป็นตัวถ่วงก็อยากทำให้ดีที่สุด”

ถือเป็นอีกครั้งที่เกิดจากการตัดสินใจคว้าโอกาสตรงหน้าไม่ให้หลุดลอยไป เพราะมันทำให้เขาไปถึงแชมป์โลก PB ได้สำเร็จ ก่อนจะตัดสินใจเลิกเล่นหลังจบรายการนั้น


กล้าทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

แต่หลังยุติการแข่งขันไม่ถึงปี Mickie กลับสู่เส้นทางโปรเพลย์เยอร์อีกครั้ง และเป็นอีกหนึ่งโอกาสสำคัญที่เป็นจุดเปลี่ยนชีวิตอย่างแท้จริงกับเกม Overwatch

“ตอนนั้นมีเพื่อนชวนมาเข้าทีม มันเป็นเกมที่ต้องเล่น 6 คน เขามี 5 คน ในเกมมีตัวหนึ่งเป็นสไนเปอร์อยากให้เราเป็นคนเล่น ใจจริงผมไม่อยากเล่นแล้วเพราะตอนนั้นเรียนอยู่ปี 3 ผมตั้งใจจะโฟกัสเรื่องเรียน  แต่เพื่อนมาขอให้ลงแข่งแค่รายการเดียวเพื่อสิ้นปีจะมีลุ้นไปแข่งที่ สหรัฐอเมริกา แล้วผมเองก็อยากลองไป อเมริกา พอดีผมเลยตอบตกลงถ้าไปรายการนี้ก็จะเลิกเล่น”

“ตอนนั้นเรื่องการแข่งขันมันก็แค่ฉาบฉวย เพราะตอนนั้นนักกีฬาอีสปอร์ตคนไหนสามารถทำเงินเดือนถึงหนึ่งหมื่นบาทได้ก็ถือว่าเก่งมากแล้ว ส่วนใหญ่แค่หลักพันเท่านั้น ผมว่าตอนที่ได้ไปอยู่อเมริกานั่นล่ะคือจุดเปลี่ยนของจริง”

จากเดิมที่ตั้งใจเล่นแค่รายการเดียว Weed Time ที่เพิ่งฟอร์มทีมขึ้นมาได้ชวนเขาไปอยู่ด้วย ก่อนจะต่อยอดไล่ล่าความสำเร็จ กระทั่งได้แข่งขันในศึก Overwatch World Cup 2016 และได้ไปแข่งขันที่ อเมริกา ตามความฝัน แต่ถึงแม้ทีมจะตกรอบ ฝีมือของเขาโดดเด่นจนถูกหนึ่งในผู้เล่นของ Envyus ทีม Overwatch อันดับหนึ่งของโลกมาขอช่องทางติดต่อของเขาไว้

“ตอนนั้นมีคนจาก Envyus มาขอช่องทางติดต่อผม เพราะทีมเขามีคนออกกะทันหัน เขาขอให้เราไปเป็นสแตนอินแข่งแทนรายการเดียว แต่ตอนนั้นก็หวังนะว่า ถ้าได้มาอยู่ทีมนี้ก็ดี ผมจะได้ไปอยู่อเมริกา เพราะตอนนั้นผมอยากไปอยู่อเมริกาอยู่แล้ว ผมอยากหาประสบการณ์ใหม่ๆหาแรงบันดาลใจในชีวิต”

“ก่อนหน้านี้แค่รู้สึกว่าเดี๋ยวค่อยไปทำชีวิตเราให้ดีก่อนแล้วค่อยไปที่นั่น แต่พอมีโอกาสเข้ามาก็ตอบตกลงไปเลย ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่า พวกเขาเป็นทีมที่ใหญ่ขนาดไหน แต่คนในทีมรู้ก็เชียร์ให้เราลองไปบอกว่า นี่คือทีมเบอร์หนึ่งโลก ตอนได้ที่ยินผมเฉยๆนะ เพราะผมไม่ใช่แฟนคลับ และไม่ได้มีความคิดอยากเป็นนักแข่งเลย ผมแค่ดีใจที่จะได้เงินเดือนเยอะ และได้ไปอยู่อเมริกา นั่นคือเหตุผลที่ตัดสินใจ”

ท้ายที่สุด Mickie ตอบตกลงเก็บกระเป๋ามุ่งสู่ สหรัฐอเมริกา แม้จะต้องแลกกับการยุติแผนในอนาคตที่วางไว้ แต่การตัดสินใจไปครั้งนั้นทำให้ชื่อของ Mickie เป็นที่รู้จักระดับโลก

“ทุกอย่างในชีวิตเปลี่ยนหมดรวมถึงเป้าหมายในชีวิตด้วย เพราะมันกลายเป็นว่า สิ่งที่เราทำอยู่ในตอนนั้นต้องหยุดแล้วไปใช้ชีวิตที่นั่นทิ้งที่บ้าน”

“ตอนนั้นผมศึกษาเรื่องหุ้น ผมจะทำหลายอย่างมากในตอนนั้น แต่สุดท้ายพอได้ไปแข่งทุกอย่างที่เตรียมไว้ต้องทิ้งหมดเลยชีวิตก็เลยเปลี่ยนในทันที”


เรียนรู้สิ่งใหม่ๆอยู่เสมอ

การตัดสินใจครั้งนั้น Mickie ต้องใช้ชีวิตคนเดียวในสหรัฐอเมริกา เขาไม่รู้ภาษาอังกฤษ ฟังไม่ออก สื่อสารกับเพื่อนในทีมไม่ค่อยเข้าใจ และยังต้องพบเจอวัฒนธรรมใหม่ๆ แต่เขาพัฒนาตัวเองด้วยการเปิดรับ และพยายามเรียนรู้สิ่งใหม่ๆอยู่เสมอ 

“สำหรับผมกับการเป็นนักกีฬาอีสปอร์ตที่อเมริกามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เหมือนคนไทยไปอยู่แมนฯยู ไปถามใครว่า คิดไหมว่าสักวันนักบอลไทยจะไปอยู่แมนฯยู ทุกคนจะตอบว่าไม่ได้มันเหมือนกันเลยโอกาสมันไม่มีเลย”

“การใช้ชีวิตที่นั่นต้องเจออะไรใหม่ๆ แต่สำหรับผม ผมชอบการเรียนรู้มันดูมีความท้าทายกับการได้ไปอยู่ต่างที่ต่างวัฒนธรรมต่างภาษา ผมไม่ได้พูดภาษาอังกฤษเก่งด้วยในตอนนั้น ฟังก็แทบไม่รู้เรื่อง และเป็นการไปต่างประเทศคนเดียวในครั้งแรก ผมต้องจัดการตัวเองทั้งหมดทุกเรื่องทั้งเรื่องภาษีที่ไม่เคยรู้ก็ต้องศึกษา เราต้องศึกษาเพื่อให้เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ถามว่ามันลำบากไหม มันก็มีความรับผิดชอบที่เข้ามามากขึ้น แต่มันทำให้เราเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว และพัฒนาตัวเราเอง”

“สิ่งที่หนักที่สุดคือเรื่องภาษานั่นเป็นประเด็นที่ทำให้เล่นตามแผนยาก ผลงานผมไม่ดีในช่วงแรก ผมมีเวลาปรับตัว 4 วันก่อนแข่ง แม้กระทั่งวันแข่งก็เล่นแบบไม่เข้าขาเหมือนคนในทีมประสบการณ์สูง ในเมื่อผมไม่เข้าใจคนเดียว ถ้างั้นเขา 5 คนเลือกจะเล่นตามที่ผมเล่นกลายเป็นทีมแบกขึ้นมาได้”

“ถ้าผมตัดสินใจพลาดเพื่อนจะคอยแก้ให้ กำแพงภาษามันถูกบีบบังคับให้เราต้องปรับตัวเมื่อไปแล้ว ฟังไม่รู้เรื่องก็ต้องฟัง มันถูกบังคับเลยเรียนรู้เร็ว เขาซ้อมกันทุกวันก็ต้องพูดทุกวัน”

“ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่ที่ไม่กล้าออกไปใช้ชีวิต เพราะคนกลัวมากกว่า เท่าที่ผมรู้จักเพื่อนมาเวลาที่บ้านส่งไปต่างประเทศ ทุกคนเอาตัวรอดได้ ไม่เคยเห็นใครมีปัญหาจนถูกส่งกลับ สุดท้ายมันต้องปรับตัว”

เชื่อมั่นในสิ่งที่ทำ

แม้จะได้เป็นผู้เล่นในสังกัด Envyus แต่เดิมที Mickie เป็นเพียงผู้เล่นที่ลงแข่งแทนรายการเดียวเท่านั้น ทว่าผลงานของเขากลับดีเกินคาดเมื่อมีส่วนช่วยทีมคว้าแชมป์ Overwatch Apex มาถึงจุดนี้เขาไม่ได้มองแค่โอกาสได้อยู่กับทีมระยะสั้นอีกต่อไป แต่มันคือการได้เซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการ

แน่นอนว่า การที่เด็กไทยคนหนึ่งจะได้เป็นผู้เล่นทีมระดับโลก คงไม่ใช่ภาพที่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ แม้ว่าเขาจะทำสำเร็จไปแล้วหนึ่งขั้น แต่เขายังเชื่อมั่นในสิ่งที่ทำ มุ่งมั่นเต็มที่ และมองว่า เป้าหมายต่อไปจะต้องเป็นไปได้

ก่อนที่ความเชื่อมั่นของเขาจะเป็นจริงเมื่อได้เซ็นสัญญากับ Envyus ในที่สุด…

“จริงๆแอบรู้อยู่แล้วว่า หลังจบรายการแรกผมน่าจะได้เข้าทีม เพราะ Overwatch Apex เหมือนได้แชมป์โลกนั่นคือรายการใหญ่ที่สุด”

“ก่อนหน้านี้ Envyus ไม่เคยได้แชมป์รายการใหญ่ แต่พอผมเข้าไปแล้วได้แชมป์เลยรู้สึกว่า ทำขนาดนี้น่าจะได้เข้าทีมแล้วล่ะ จริงๆผมดีใจตั้งแต่ทีมเลือกผมไปสแตนอิน พอได้แชมป์ก็เฉยๆเพราะผมดีใจไปแล้วในตอนที่ได้ไปอยู่ที่นั่น ผมเชื่อมั่นตลอดว่า ผมทำได้ มันไม่ได้ลุ้นตลอดว่าจะทำได้ไหมในหัวไม่มีเลย ตอนนั้นผมคิดอย่างเดียวว่า ผมต้องทำให้ได้”

“เคยมีคนบอกผมว่า คนที่นั่นเขาไม่ได้ดูถูกผู้เล่นจากเอเชียว่าจะไม่เก่ง แต่เขาบอกว่า ในเมื่อต้นสังกัดอยู่ที่อเมริกา ทำไมเขาถึงลงทุนทำวีซ่าจ่ายค่านั่นนี่เพื่อเอาคนนั้นมาเล่นในอเมริกาด้วยในเมื่อสามารถหาคนที่ฝีมือใกล้เคียงกันในยุโรปหรืออเมริกาได้ มันก็เป็นเรื่องจริงที่เขาพูดเมื่อเรามีคนเก่งๆใกล้เคียงกัน เราจะจ่ายเงินเยอะๆเพื่อเอาคนที่อยู่อีกฝั่งซีกโลกมาทำไม”

“การได้ใช้ชีวิตที่นั่น ผมได้ประสบการณ์ที่น้อยคนจะได้ ถือเป็นอะไรที่ประเมินค่าไม่ได้ ต่อให้เรามีเงินมากแค่ไหนเราก็ซื้อประสบการณ์นี้ไม่ได้ มันทำให้เราเติบโต เราใช้ชีวิตคนเดียวได้ และทำให้เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น”

จากความกล้า และเชื่อมั่นในสิ่งที่กำลังทำ Mickie จึงได้ใช้ชีวิตอยู่ที่ สหรัฐอเมริกา นานกว่า 5 ปี จนถึงวันที่กระแสของ Overwatch เริ่มตกลง เป็นสัญญาณบ่งบอกว่า อาจถึงเวลาแล้วที่เขาต้องบอกลาการแข่งขัน และชีวิตเหมือนความฝันที่นั่น

“ผมเริ่มเบื่อเกม คนในทีมเองก็เบื่อเพราะเกมมันดร็อปลงไป คนดูน้อย รายการแข่งก็น้อย อีกอย่างตัวผมในตอนนั้นมีเป้าหมายที่มองตัวเองอีก 5 ปี เราอยากเห็นตัวเองยืนอยู่จุดไหนตอนนั้นสิ่งที่ทำมันพาไปถึงตรงนั้นไม่ได้ ผมเลยไม่อยากทำต่อ”

“ผมวางแผนไว้ว่า ผมจะทำเงินในบัญชีให้ได้ 300 ล้าน และผมรู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่ตรงนั้นอีก 5 ปี มันก็ทำไม่ได้ จริงๆผมมีแพลนเยอะมากถ้าให้ผมพูดเป็นข้อๆคงมันหลายอย่าง ผมขอสรุปเลยว่าถ้าผมมี 300 ล้าน ทุกอย่างที่ผมตั้งเป้าไว้มันสามารถทำได้”

ที่สุดแล้ว Mickie ตัดสินใจวางมือจากการแข่งขัน นั่นคือครั้งสุดท้ายของเขาในฐานะโปรเพลย์เยอร์ ก่อนจะลาขาดจากวงการ


สู่เส้นทางโค้ช PUBG 

ในปี 2020 หลังตัดสินใจวางมือ Mickie เปลี่ยนบทบาทเป็น Content Creator แต่ชื่อชั้นกับความสำเร็จที่ผ่านมาทำให้เขาถูกหยิบยื่นโอกาสจาก Bacon Time ทีมอีสปอร์ตชื่อดังของไทยที่เพิ่งสร้างทีมใหม่ โดยดึงเขารับบทโค้ช PUBG MOBILE กลายเป็นที่ฮือฮาของการกลับสู่วงการอีกครั้งของ Mickie

“ผมไม่เคยคิดอยากจะเป็นโค้ชเลยนะ” Mickie กล่าวยอมรับ “ตั้งแต่เห็นการทำงานมาผมรู้ว่า โค้ชต้องทำอะไรบ้าง ผมรู้ทุกสิ่งเบื้องหลังทุกอย่าง ผมเลยบอกตัวเองว่า ผมไม่อยากยุ่งกับวงการนี้แล้ว แต่ผมคิดไว้ว่าวันหนึ่งถ้ามผมมีโอกาสก็อยากจะทำประโยชน์ให้กับวงการนี้อยากช่วยเอาความรู้ประสบการณ์ที่มีมาถ่ายทอดแต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้”

“ผมคิดว่าจะไปตามเส้นทางของผมก่อน แต่สุดท้ายเจ้าของทีม Bacon เขาเข้ามาคุยว่า ตอนนี้มันไม่มีใครที่เหมาะไปกว่านี้ การแข่งเกิดขึ้นเร็วมาก ผมเลยบอกว่า ให้ผมลองงานเลยแล้วกัน จะได้รู้ว่าผมทำได้ไหม ถ้าไม่ได้มก็จะออกผมคิด แต่ก็เป็นการเปิดทางใหม่อีกอย่างที่น่าจะทำให้เราได้เรียนรู้มากขึ้น”

การกลับมาหนนี้ไม่ใช่แค่คัมแบ็คสู่วงการอีสปอร์ต แต่เขาต้องเริ่มต้นกับเกมที่ไม่เคยเล่นมาก่อน และยังต้องรับบทโค้ชเป็นครั้งแรก

“สิ่งที่ยากของผมคือ ผมไม่เคยเล่น PUBG มันทำให้ผมต้องมานั่งดูคลิปการแข่งเก่าๆดูแผนคนอื่นแล้วเอามาปรับใช้ เพราะผมเริ่มจากศูนย์ ผมไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้ชนะ ผมไม่รู้ตำแหน่งไม่รู้สถานที่ แต่โชคดีที่มีทีมวิเคราะห์ที่ส่งข้อมูลมาให้อธิบายแล้วให้ผมตัดสินใจทีหลังซึ่งช่วยได้มาก”

“ผมไม่ค่อยสนุกหรอก เพราะผมจริงจังกับการแข่งขัน ในเมื่อเลือกมาทำแล้ว เราไม่ชอบความพ่ายแพ้ ผมรู้สึกว่า มันท้าทาย และอยากทำให้ดีที่สุดเท่านั้น”

จากที่ประกาศไปเมื่อวาน ตอนนี้ทุกคนน่าจะได้รู้กันแล้วนะฮับ ว่า Mickie จะเข้ามาเป็นโค้ชให้กับทีม Bacon PUBG Mobile…

Posted by Bacon Time on Thursday, March 4, 2021

โค้ช Mickie แห่ง Bacon Time

ไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่า เขาคือหนึ่งในบุลลากรของวงการอีสปอร์ตที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด ซึ่งการคว้าแชมป์ตลอดจนได้ไปโลดแล่นในลีกระดับโลก เรียนรู้วิถีความเป็นมืออาชีพ เปิดโลกกว้างของวงการอีสปอร์ต ทำให้ Mickie สามารถนำหลายสิ่งที่พบเจอมาปรับใช้กับบทบาทของเขาในปัจจุบัน

“การเป็นโค้ชสิ่งสำคัญที่สุดคือเราต้องรู้ว่า อะไรที่ทำแล้วไม่ได้สร้างประโยชน์ให้กับทีม ผมเจอโค้ชมาหลายคน หลายประเภท ผมจึงรู้ว่าอะไรเป็นประโยชน์ไม่เป็นประโยชน์สิ่งไหนควรพูดไม่ควรพูด จะดูแลนักกีฬาอย่างไร อะไรที่พูดไปแล้วไม่ได้ทำให้ทีมดีขึ้นก็เลี่ยง”

“คนข้างนอกมักไม่คิดถึงเรื่องนี้ แต่มันเป็นเรื่องที่ต้องคิดว่า จะจัดการกับเรื่องนอกเหนือจากเกมอย่างไร จัดการเรื่องวินัยการตัดสินใจต่างๆ นิสัยส่วนตัว การทำงานเป็นทีม เพราะมันไม่ใช่แค่เล่นเกมเก่งแล้วโค้ชมาบอกให้ทำแบบนี้แล้วจะชนะ มันไม่ใช่แค่นั้น”

การเปลี่ยนแปลงที่นำไปสู่การตัดสินใจทุกครั้งของ Mickie มักมาในเวลาที่เขาไม่คาดคิดอยู่เสมอ เหมือนกับครั้งนี้ที่แม้จะบอกลาการแข่งขันอย่างเป็นทางการไปแล้ว แต่โชคชะตานำพาเขากลับสู่บรรยากาศที่คุ้นเคยอีกครั้ง และเขาก็เลือกที่จะลองเปิดรับมันไว้ โดย PUBG Mobile Thailand Pro League Season 3 จะเป็นรายการแรกสำหรับเขากับ Bacon

ก็คงต้อง OFFICIAL แล้วนะฮับ ? กับ Lineup ทีม Bacon PUBG Mobile ทีมใหม่แกะกล่องของพวกเรา และรายชื่อผู้เล่น…

Posted by Bacon Time on Wednesday, March 3, 2021

“เวลาผมตัดสินใจว่า จะพอแล้วจะมีสิ่งที่มาขัดทุกที แต่มันมักเป็นสิ่งที่ดี และเป็นโอกาสผมเลยตัดสินใจทิ้งเป้าหมายที่วางไว้แล้วไปทำสิ่งนั้นตลอด ตัวผมเป็นคริสเตียนเวลามีอะไรแบบนี้ ผมเชื่อว่า พระเจ้าอยากให้ผมทำสิ่งนี้”

“สำหรับผมมองว่า ทีมมีความพร้อม 90% สมาชิกทุกคนในทีมเก่งมากมีพื้นฐานกันหมดแล้ว ในโปรลีก 3 คนในทีมเขาบอกว่า เรื่องการได้ที่ 1-3 ไม่ได้ยาก แต่ผมบอกเขาว่า เราอยากพิสูจน์ตัวเองกันไหม การชนะรายการนี้ในไทย มันจะทำให้เรารู้ว่า เราอยู่จุดไหนของประเทศ มันทำให้เราประเมินต่อไปได้ว่า เราจะไปเจอระดับโลกได้อย่างไร”

“ผมมองว่า แชมป์โลกคือเป้าหมายสูงสุด โปรลีกเราไม่คิดว่า จะต้องมองถึงแชมป์ แต่สิ่งที่เราต้องได้จากโปรลีกคือต้องพัฒนาทำให้ทีมได้แชมป์โลก อย่างน้อยๆต้องได้สองอย่างคือ ติด 1 ใน 3 เพื่อไปแข่งชิงแชมป์โลก สองตลอดระยะเวลาแข่งขันโปรลีกข้อมูลที่ได้ต้องสามารถนำไปพัฒนาได้ นั่นคือเป้าหมายของเรา”


Mickie ในวันนี้

หลังจากนี้เส้นทางในวงการอีสปอร์ตของ Mickie จะประสบความเร็จมากน้อยแค่ไหนไม่มีใครคาดเดาได้ แม้แต่ตัวเขาเอง แต่สิ่งหนึ่งที่รับรู้ได้คือ ชีวิตของเขาก็ยังไม่ตัดขาดจากเกม ซึ่งตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมาจากวันเริ่มต้นถึงปัจจุบันกับบทบาทโค้ช Bacon เกมคือส่วนหนึ่งของชีวิตที่ทำให้มาไกลเกินคาด

“จากตอนแรกไม่เคยคิดเลยว่า จะมาไกลขนาดนี้ คิดแค่ว่าถ้าจะทำงานนี้ให้รอดไม่ไปเล่นที่เกาหลีก็ต้องประเทศจีน แต่ตอนนี้ไทยก็สามารถทำได้ ผมอาจประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่ผมไม่ได้ประสบความสำเร็จที่สุดในประเทศไทย ยังมีอีกหลายคนที่ผมมองว่า ไปได้ไกลกว่าผม”

“ผมว่ามาตรฐานอีสปอร์ตของไทยในตอนนี้กับอเมริกาแทบไม่ได้ต่างกันในปัจจุบัน ไทยก้าวกระโดดมากๆ โดยเฉพาะตลาดเกมมือถือโซนเอเชียก้าวกระโดดมากใน 4-5 ปี ที่ผ่านมาแซงหน้าเกมคอมพิวเตอร์ไปแล้วทั้งปริมาณสปอนเซอร์ ปริมาณคนดูทุกอย่างมันแซงไปหมด”

ความเป็นตัวตน และความสำเร็จที่ผ่านมาของ Mickie เป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนที่อยากเดินตามเพื่อไปให้ถึงจุดที่เขาเคยผ่านมาแล้ว 

“ถ้าวันนี้มีคนมาถามผมว่า จะทำอย่างไรถึงจะทำแบบผมได้ ผมจะบอกเขาว่า คนเราเกิดมามีความถนัดไม่เหมือนกัน เราไม่ต้องพยายามเป็นเหมือนคนอื่น แต่เราต้องเรียนรู้จากความผิดพลาด และความสำเร็จของคนอื่น”

“สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความเป็นมืออาชีพต้องรวมถึงในเกมและการปฏิบัติตัวนอกเกม การวางตัวใช้โซเชียลต่างๆ ที่ต้องอบรบ ตอนที่อยู่ที่อเมริกา เขามี มีเดียเทรนนิ่ง คอยสอนว่าเราควรโพสต์อะไรวางตัวอย่างไร เราขึ้นไปจุดนั้นคือเป็นบุคคลมีชื่อเสียง มีคนมองเราอยากให้เป็นแบบอย่าง ฉะนั้นเราต้องเป็นแบบอย่างที่ดีด้วย”

“แต่คำว่า ประสบความสำเร็จของผมมันคือความพอใจว่าเรา พอใจกับอดีตที่ทำมาไหม จุดที่ยืนอยู่พอใจกับมันหรือยัง ตัวผมพอใจที่สามารถซื้อบ้านให้แม่อยู่ได้”

“ตัวผมพอใจที่แม่ออกจากงานแล้วผมเลี้ยงแม่ได้สำหรับผมนั่นคือประสบความสำเร็จแล้ว” Mickie ปิดท้าย

อ่านเพิ่ม: ก้าวแรกสู่สังเวียน : Lloyd การกลับมาของตำนาน LoL เมืองไทย